พ่อแม่ แจ้งความครู ลงโทษ ลุกนั่ง 60 ครั้ง ลูกเข้า รพ. 6 วัน

พ่อแม่ แจ้งความครู ลงโทษ ลุกนั่ง 60 ครั้ง ลูกเข้า รพ. 6 วัน

พ่อแม่เข้า แจ้งความครู หลังลงโทษลูกด้วย ลุกนั่ง 60 ครั้ง ลูกไข้ขึ้น มีอาการบวม เข้าโรงพยาบาล 6 วันนายสุรัตน์ อายุ 36 ปี และนางพจมาน อายุ 40 ปี พร้อมลูกสาววัย 12 ปี ได้เดินทางไปยัง สภ.ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อเข้าแจ้งความครูประจำชั้น หลังจากที่ถูกสั่งลงโทษด้วยการลุกนั่ง หรือ สก็อตจัมพ์ 60 ครั้ง จนทำให้นอนโรงพยาบาลถึง 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา

โดยผู้เป็นพ่อเล่าว่า มาแจ้งความให้ดำเนินคดีกับครูประจำขั้น โรงเรียนดังกล่าว 

ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ซึ่งก่อนมาพบตำรวจได้พาลูกสาวไปพบแพทย์ รพ.สมเด็จ เพื่อตรวจและรักษาตัวแล้ว ซึ่งแพทย์ตรวจสอบว่ามีอาการบวม ลูกสาวเล่าว่าในวันเกิดเหตุนั้น ไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหนทำปากกาหมึกแตกใส่บนโต๊ะ คุณครูมาเห็น แล้วก็สั่งลงโทษนักเรียนทั้งห้องโดยการให้ลุก-นั่ง 60 ครั้ง หลังลงโทษเด็กหญิงคนดังกล่าว เริ่มมีอาการปวดขา มีไข้ แล้วช่วงดึกคุณแม่และพ่อได้พาไปโรงพยาบาล โดยการเข้ารักษาตัวทั้งหมด 6 วัน

ด้านผู้เป็นแม่ ได้ฝากบอกว่า การเอาลูกมาเรียนก็ฝากความปลอดภัยไว้กับครู แต่มาทำแบบนี้จะหาความปลอดภัยได้ยังไง ก็เข้าใจว่าลูกอาจจะดื้อ แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก ควรอย่าใช้อารมณ์แบบนี้ หรืออย่าไปทำกับเด็กคนอื่นแบบนี้อีก ลูกใครพ่อแม่ก็รัก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะมีการสอบสวนเพิ่มเติม และเรียกตัวครูประจำชั้นมาสอบปากคำข้อเท็จจริง เพื่อสรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

จากการสอบปากคำทำให้ทราบว่า ผู้ตายทั้งสองมีปากเสียงบ่อยครั้งหลังจากที่ภรรยากลับมาจากการอบพรมหลักสูตรเฉพาะทางที่ จ.เชียงใหม่ จนถึงขั้นยิงปืนขู่กันที่บ้านพัก สุดท้ายทั้งสองคนก็หย่าขาดจากกัน แต่ฝ่ายชายยังพยายามติดตามขอคืนดีกับพยาบาลมาโดยตลอด กระทั่งถือปืนเข้ามาในโรงพยาบาล เดินตามหาอดีตภรรยาที่เข้าเวรและกำลังทำงานอยู่ในห้องพิเศษ เมื่อพบตัวก็เข้าไปหาใช้ปืนยิงอดีตภรรยา 3 นัดดังกล่าว

ด่วน! ศาลพิพากษา จำคุกตลอดชีวิต ผู้กำกับโจ้ พร้อมพวก ปมฆ่ามัดถุง

ด่วน! ศาลพิพากษา จำคุกตลอดชีวิต ผู้กำกับโจ้ พร้อมพวกกรณีใช้ถุงคลุมศีรษะเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาเสียชีวิต ด้านครอบครัวผู้ตายขอสู้ศาลเดียว ผู้กำกับโจ้จำคุกตลอดชีวิต – ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ตลิ่งชัน ได้อ่านคำพิพากษา คดีโจ้เฟอร์รารี่ หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับที่ก่อเหตุใช้ถุงดำคลุมศีรษะจนทำให้ มาวิน ผู้ต้องหายาเสพติดเสียชีวิต และกลายเป็นคดีโด่งดังเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2564

โดยศาลเตรียมอ่านคำพิพากษาของ ผกก.โจ้ และพวกรวม 7 คน ในความผิดฐานดังต่อไปนี้

เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย

ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น

หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น

อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157, 288, 289 (5), 309 วรรค 2 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561มาตรา 4,172

ศาลได้ตัดสินให้ ผู้กำกับโจ้ และ พวกลูกน้อง กระทำผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษข้อหาฆ่าโดยโหดร้ายทารุณฯบทหนักสุดให้ประหารชีวิตลดโทษ 1 ใน3 เหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่6 ผิดข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมานอาญามาตรา 157 จำคุก 5 ปี 4 เดือน

ขณะที่ เรืออากาศตรี จักรกฤษ กลั่นดี และนางจันจิรา ธนพัฒน์ บิดา มารดา ของนายมาวิน ผู้ตาย รวมทั้งทนายความ เดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยเรืออากาศตรี จักรกฤษ นายมาวิน กล่าวว่าไม่ว่าผลคดีจะออกมาเป็นอย่างไรก็พร้อมยอมรับ และจะไม่ขออุทธรณ์ หรือฎีกา ขอสู้แค่ศาลเดียวพอ ทั้งนี้ขอให้ฝ่ายจำเลยจ่ายเงินเยียวยา 1 ล้าน 5 แสนบาทให้ตามที่ตกลงกัน

ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือผกก.โจ้ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาที่ 1, 2 และ 4 ยกเว้นข้อหาที่ 3 ระบุเหตุผลว่า ยอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกาย ต้องการขยายผลทางคดียาเสพติดที่เป็นภัยร้ายของสังคม ไม่ได้ต้องการให้นายจิรพงษ์ถึงแก่ความตาย ที่ทำไปเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ

ขณะที่ จำเลยที่ 2 ให้การยอมรับสารภาพทุกข้อหา ยกเว้นข้อหาที่ 3 เช่นเดียวกัน ให้เหตุผลว่า ไม่ได้เจตนาจะให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เพียงอยู่ร่วมในเหตุการณ์ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธข้อหาที่ 3 และ 4 และให้เหตุผลว่า ได้เข้ามาที่เกิดเหตุภายหลัง และไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้ตาย

จำเลยที่ 4 ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยกเว้นข้อหาที่ 4 ที่ให้การรับสารภาพ โดยเหตุผลในการปฏิเสธระบุว่า ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ร่วมทำร้ายจริง แต่ไม่เจตนาให้ถึงแก่ชีวิต ส่วนจำเลยที่ 5-7 ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จำเลยที่ 5 และ 7 ให้เหตุผลว่าอยู่ในเหตุการณ์ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ได้ร่วมทำร้าย ส่วนจำเลยที่ 6 ระบุว่า เข้าไปในที่เกิดเหตุ แล้วเดินออกมา โดยเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปแล้ว

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป